มรรค คือหนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อกำจัดกิเลส เป็นหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย อริยมรรค หนทางของผู้ไกลจากกิเลส , หนทางอย่างประเสริฐ หมายถึง มรรค มีองค์ ๘ อันเป็นหนทางอย่างประเสริฐ เพราะทำให้ผู้อบรมบรรลุถึงความเป็นพระอริยเจ้า พ้นจากความเป็นปุถุชน และพ้นจากการเกิดในอบายภูมิโดยเด็ดขาด
ซึ่ง ประกอบด้วย อริยมรรค 8 ประการดังนี้
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง , ความเห็นชอบ ได้แก่ ปัญญาเจตสิก ซึ่งมีลักษณะ ที่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง สัมมาทิฎฐิมีหลายระดับ ตั้งแต่กัมมสกตาสัมมาทิฏฐิ ( ความเห็นถูกเรื่องความมีกรรมเป็นของๆ ตน ) ฌานสัมมาทิฏฐิ ( ความเห็นถูก ที่เกิดกับฌานจิต ) วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ ( ความเห็นถูกที่เกิดกับวิปัสสนา ซึ่งขณะ ที่เป็นสติปัฏฐานก็เป็นมรรคมีองค์ ๕ แต่ขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นประหาณกิเลสเป็นสมุจเฉทก็เป็นมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น
๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ หมายถึง วิตกเจตสิกที่ตรึกที่ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อสติจะได้ระลึก ปัญญาจะได้ศึกษา ในลักษณะของนามรูป สัมมาสังกัปปะมีอาการ สามอย่าง คือ ...
๑. ดำริในการออกจากกาม
๒. ดำริในการไม่พยาบาท
๓. ดำริในการไม่เบียดเบียน
๓. สัมมมาวาจา คือ เจรจาที่ถูกต้อง หมายถึง การพูดที่ต้องละเว้นจากการวจีทุจริต ๔ อย่างคือ
๑. เว้นจากการพูดปด
๒. เว้นจากการพูดส่อเสียด
๓. เว้นจากการคำหยาบ
๔. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๔. สัมมากัมมันตะ คือ การปฏิบัติที่ถูกต้อง หมายถึง การกระทำที่ต้องละเว้นจากที่ทำกิจให้เกิดการงดเว้นจากกายทุจริต ๓ อย่าง คือ
๑. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
๒. งดเว้นจากการลักทรัพย์
๓. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง หมายถึง การทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีการทุจริต ที่ทำกิจให้เกิดการงดเว้นจากมิจฉาชีพซึ่งเป็นไปทางกายหรือวาจาที่ทุจริต
๖. สัมมาวายามะ คือ ความเพียรที่ถูกต้อง หมายถึง ความอุตสาหะหรือความพยายามที่ อยู่ในวิถีทางที่ดี ที่เกิดกับกุศลจิตที่เป็นไปพร้อมกับสติปัฏฐาน และวิปัสสนาญาณ เป็นความเพียรที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
๗. สัมมาสติ คือ การมีสติที่ถูกต้อง หมายถึง การระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา โดยกำจัด ความฟุ้งซ่าน การระลึกชอบ หมายถึง สติเจตสิกที่ระลึกที่ลักษณะของนามธรรม หรือรูปธรรม จนปัญญามีกำลังประจักษ์แจ้งสภาพธรรมไปตามลำดับ และเมื่อมัคคจิต เกิดขึ้น สัมมาสติก็ระลึกที่ลักษณะของนิพพาน
๘. สัมมาสมาธิ คือ การมีสมาธิที่ถูกต้อง หมายถึง การฝึกกายและอารมณ์ให้สงบ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตในขณะที่สติปัฏฐานและวิปัสสนาญาณเกิดสัมมาสมาธิทำจิตและเจตสิกอื่นให้ตั้งมั่นในอารมณ์คือนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏเพื่อที่ปัญญาจะได้รู้ชัดลักษณะของนามรูปนั้นๆและ เมื่อมัคคจิตเกิดขึ้นสัมมาสมาธิก็ทำให้จิต และเจตสิกอื่นตั้งมั่น ในอารมณ์คือนิพพาน
การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นนั้น ต้องดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ซึ่งก็ต้องเริ่มตั้งแต่ในขั้นของการอบรมด้วยการ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับในขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นมรรคมีองค์ ๕ กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เกิดขึ้นพร้อมกันและถ้ามีวิรตีเจตสิกหนึ่งเจตสิกใดเกิดด้วย ก็เป็นมรรคมีองค์ ๖ เป็นการอบรมมรรคอันเป็นโลกิยมรรค ยังไม่ถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ เพราะมรรคทั้ง ๘ องค์จะประชุมพร้อมกันในขณะที่มรรคจิต ผลจิตเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่เดินทางตามที่ถูกต้องแล้ว ก็ย่อมไม่มีวันถึงขณะที่มรรคจิตและผลจิต จะเกิดได้เลย แต่อย่างไรก็ดี สำหรับ อริยมรรค มีองค์ 8 นั้นเป็เรื่องที่ยาก และ ไกลมาก สำคัญที่การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง เพื่อเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ปัญญานั้นเอง จะปรุงแต่ง และ ปฏิบัติหน้าที่ ให้กุศลธรรมประการอื่นๆ เจริญขึ้น และ ทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ในที่สุด อันมีปัญญาเป็นหัวหน้า นำทางไปสู่หนทางที่ดับกิเลส
อ้างอิง
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/23275
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น